การผลิตทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสมสำหรับชา เพื่อให้มีคุณภาพผลผลิต
และผลิตภัณฑ์ชาตรงตามมาตรฐานสากล
เกษตรกรสามารถปฏิบัติตามได้และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
การจัดการสวนจะต้องมีความจริงใจใจกิจกรรมที่กำหนด โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ
ในการจัดการสวนดังจะได้กล่าวต่อไป
การจัดการเพื่อให้ได้ชาที่มีคุณภาพตรงตามมาตรฐานสากล
สภาพพื้นที่
-
ชาที่นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาคุณภาพดี
ควรปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล
700 เมตร
ขึ้นไป
-
สำหรับสวนชาขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรในการดำเนินการ
ควรมีพื้นที่ลาดเอียงไม่เกิน
15
เปอร์เซ็นต์ ถ้าลาดเอียงมากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์
ควรทำขั้นบันได โดยให้มีความกว้างไม่น้อยกว่า 150
เซ็นติเมตร
ลักษณะดิน
สภาพภูมิอากาศ :
ชามีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพภูมิอากาศได้ดี ต้องการอุณหภูมิ ค่อน
ข้างเย็น
-
อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตอยู่ระหว่าง 25-30
องศาเซลเซียส
-
ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศไม่ต่ำกว่า 75
เปอร์เซ็นต์
-
มีปริมาณน้ำฝนอย่างน้อยเฉลี่ยปีละ 1,200
มิลลิเมตรต่อปี
พันธุ์
-
กลุ่มพันธุ์ชาจีน
(C. sinensis
var.
sinensis)
-
กลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม
(C. sinensis
var.
assamica)
-
กลุ่มพันธุ์ชาเขมร
(C. sinensis
var. Indo-china)
-
กลุ่มชาจีน (China tea) เป็นกลุ่มที่เหมาะสำหรับใช้แปรรูปเป็นชาใบ เช่น
ชาเขียว ชาจีน
-
กลุ่มชาอัสสัม
(Assam tea)
เป็นกลุ่มที่เหมาะสำหรับใช้ยอดชาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาฝรั่ง
-
กลุ่มชาลูกผสม (Hybrid tea) จัดเป็นกลุ่มที่มีปริมาณมากที่สุด
เนื่องจากชาเป็นพืชผสมข้าม
จึงทำให้ชาที่ปรากฏโดยทั่วไปเป็นชาลูกผสมระหว่างกลุ่มพันธุ์ชาทั้งสามกลุ่มดังกล่าวข้างต้น
สำหรับการใช้ประโยชน์จากชากลุ่มนี้
สามารถใช้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาได้ทั้งชาใบและชาฝรั่ง ส่วนชาเขมร
(Indo-china
tea)
จัดได้ว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีประโยชน์ในทางการค้า
แต่จะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการปรับปรุงพันธุ์ชาเป็นหลัก
-
พันธุ์ชาสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาใบ (ชาเขียว, ชาจีน)
สำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาจีน ได้แก่ สายพันธุ์ชินชิง เบอร์ 12,
สายพันธุ์อู่หลงก้านอ่อน, สายพันธุ์ชินชิงอู่หลง, สายพันธุ์สี่ฤดู,
สายพันธุ์ทิกวนอิม
สำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาเขียว ได้แก่ สายพันธุ์ยาบูกิตะ,
สายพันธุ์ซายามะคาโอริ, สายพันธุ์โออิวาเสะ, สายพันธุ์แม่จอนหลวง เบอร์
3, สายพันธุ์ฝาง เบอร์ 4, สายพันธุ์แม่จอนหลวง เบอร์ 2
-
พันธุ์ชาสำหรับแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชาฝรั่ง (ชาดำ หรือชาแดง)
ได้แก่พันธุ์ชาในกลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม เช่น สายพันธุ์อัสสัมใบจาง
สายพันธุ์อัสสัมใบเข้ม สายพันธุ์ลูไฉ่
แหล่งน้ำ
ควรเป็นพื้นที่ให้น้ำได้ในช่วงฤดูแล้ง
การปลูกและดูแลรักษา
-
การเลือกพื้นที่สร้างสวนชา
พื้นที่ ๆ เหมาะสำหรับปลูกชา ควรมีดินที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง
ค่าความเป็นกรด-ด่าง
(pH) เท่ากับ 4-6
และต้องมีแหล่งน้ำสำหรับชาในฤดูแล้ง
-
การเตรียมพื้นที่ปลูกและการย้ายปลูก
-
มีการกำจัดวัชพืชเลือกพื้นที่ได้แล้วจะต้องทำการแผ้วถางวัชพืชออก
อาจจะเหลือต้นไม้ขนาดใหญ่ไว้เป็นร่มเงาชาก็ได้
ถ้าเป็นพื้นที่ลาดชันควรทำขั้นบันได(กว้างไม่น้อยกว่า
150 ซม.)
หรืออาจจะปลูกตามแนวระดับโดยไม่ขุดเป็นขั้นบันไดก็ได้
โดยให้ระยะระหว่างแถวปลูกประมาณ 2
ม.
-
สำหรับแหล่งปลูกที่เป็นพื้นราบ
หรือบนที่ลาดชันที่มีการขุดขั้นบันได ทำการเตรียมหลุม โดยขุดเป็นร่องกว้าง
40 ซม. ลึก 40
ซม.
ให้ระยะระหว่างร่องห่างกันประมาณ 180 ซม.(สำหรับพื้นที่ราบ)
และให้ขุดเป็นร่องเดี่ยวกลางแนวขั้นบันได(สำหรับบนที่ลาดชันที่มีการขุดขั้นบันได)
และขุดเป็นหลุมเดี่ยวขนาด 40x40
ซม.(เมื่อไม่ขุดขั้นบันได)
ต้องถากเอาวัชพืชคลุกกับปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยรองก้นหลุมลงกลบไว้ในหลุมปลูก
(เตรียมหลุมปลูกก่อนย้ายปลูกประมาณ
6 เดือน โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 2
ตัน/ไร่และหินฟอสเฟตอัตรา 50
กก./ไร่ สำหรับรองก้นหลุม)
-
สำหรับแหล่งปลูกที่ไม่มีระบบน้ำ
ให้ทำการย้ายปลูกในช่วงต้นฤดูฝนด้วยต้นกล้าชาพันธุ์ดีที่มีอายุ 12-18 เดือน ลงปลูกโดยใช้ระยะระหว่างต้น
40 50
ซม.(สำหรับแปลงปลูกบนพื้นราบและบนที่ลาดชันที่มีการขุดขั้นบันได)
ส่วนแปลงปลูกแบบเจาะหลุมใช้ระยะระหว่างต้น
50 60
ซม.(ตามความเหมาะสมในแต่ละสภาพพื้นที่)
สำหรับแปลงปลูกที่มีระบบน้ำ ควรย้ายปลูกในช่วงกลาง
ปลายฤดูฝน
กรณีที่ใช้ต้นกล้าเปลือยรากปลูก
จะต้องทำการตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นกล้าก่อนย้ายปลูกในช่วงต้น-
กลางฤดูฝน
การเตรียมหลุมปลูกด้วยการขุดหลุมเป็นร่อง
ควรมีการปลูกพืชบังร่มร่วมด้วยขณะที่ชามีอายุน้อย
-
การตัดแต่งและควบคุมทรงพุ่ม
การควบคุมทรงพุ่ม
หลังย้ายปลูกควรคลุมโคนต้นหรือแปลงปลูก เพื่อป้องกันความชื้น
ควรมีการบังร่มแก่ต้นกล้า (กรณีฝนทิ้งช่วงและแดดจัด)
เมื่อต้นกล้าตั้งตัวดีแล้ว จึงตัดยอดที่ความสูง
10-15 ซม.
การควบคุมทรงพุ่มในปีที่
2
ปล่อยให้ต้นชามีการเจริญเติบโตตามปกติในช่วงฤดูฝน
จนกระทั่งยอดชาหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูหนาว
จึงตัดทรงพุ่มที่ระดับความสูง 25-30 ซม.
การควบคุมทรงพุ่มในปีที่
3
ปล่อยให้ต้นชามีการเจริญเติบโตตามปกติในช่วงฤดูฝน
จนกระทั่งยอดชาหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูหนาว ตัดทรงพุ่มที่ระดับความสูง
30-35 ซม.
การควบคุมทรงพุ่มในปีที่
4
ปล่อยให้ต้นชามีการเจริญเติบโตตามปกติในช่วงฤดูฝน
จนกระทั่งยอดชาหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูหนาว ตัดทรงพุ่มที่ระดับความสูง
40-45 ซม.
ในการตัดแต่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มแต่ละครั้ง
ควรนำกิ่งที่ตัดออกไปคัดเลือกสำหรับใช้ขยายพันธุ์เพื่อเป็นการลดต้นทุนสำหรับค่าต้นพันธุ์ชาต่อไป
(การตัดแต่งประจำปีควรทำในช่วง
ปลายพฤศจิกายน-ต้นมกราคม)
หมายเหตุ
การตัดแต่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มควรตัดแต่งเฉพาะด้านบนของทรงพุ่มเท่านั้น
การตัดแต่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มชา
การตัดแต่งเพื่อเพิ่มผลผลิต
การตัดแต่งทรงพุ่ม
(Pruning)
การตัดแต่งทรงพุ่มส่วนใหญ่กระทำเพื่อ ช่วยเพิ่มผลผลิต
(เพิ่มพื้นที่ให้ผลผลิต)
เป็นการรักษาระดับความสูงให้เหมาะสมต่อการจัดการ ช่วยลดการระบาดของโรคและแมลง
ช่วยเพิ่มคุณภาพของยอดชาสด
การตัดแต่งทรงพุ่ม แบ่งออกเป็น 5
ระดับ(ภาพที่ 5)
ตามความรุนแรงของการตัดแต่ง ดังนี้
หลังจากจัดทรงพุ่มใหม่ในชาปลูกใหม่เสร็จ (ชาจะมีอายุประมาณ
4 ปี) ระดับความสูงของทรงพุ่มประมาณ
40 - 45 ซม. (ตัดแต่งก่อนฤดูหนาว)
เมื่อชาพ้นการพักตัวจะเริ่มแตกยอดใหม่ ปล่อยให้ยอดชามีการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่
เมื่อถึงช่วงประมาณกลางเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม
จึงทำการเก็บยอดชา ยอดชาที่ได้เรียกว่าชาชุดที่ 1
หรือชาหัวปี) ในแต่ละปีจะเก็บยอดชาได้
4-6
ครั้ง หลังจากเก็บยอดชาครั้งสุดท้าย (ประมาณปลายเดือนตุลาคม)
จึงปล่อยให้ชามีการสะสมอาหารอย่างเต็มที่
ก่อนชาจะพักตัวจึงทำการตัดทรงพุ่มชาให้เหลือความสูงประมาณ 50 - 55
ซม. เรียกการตัดแต่งนี้ว่า
Light Skiffing (การตัดแต่งนี้เป็นการตัดแต่งประจำทุกปี)
ทุก ๆ ปี ทรงพุ่มชาจะสูงขึ้นประมาณ 10
ซม. ในทุก ๆ 3
ปี (ความสูงทรงพุ่มจะประมาณ
70-80 ซม.) จึงตัดทรงพุ่มให้เตี้ยลงมาให้เหลือระดับความสูงประมาณ
60
ซม. การตัดแต่งนี้เรียกว่า
Deep Skiffing
เมื่อชาให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปีและผ่านการตัดแต่งกิ่งหลายครั้ง
จะมีกิ่งสั้น ๆ เนื่องจากการตัดแต่งทุกครั้งจะตัดเหนือระดับเดิมเป็นจำนวนมาก
และเนื่องจากเกิดความหนาแน่นของกิ่งสั้น ๆ (ตีนกา)
มากเกินไป ทำให้การแตกยอดใหม่ของชาลดลง
ดังนั้นจึงควรทำการตัดกิ่งเหล่านี้ทิ้ง
พร้อมทั้งตัดให้เกิดระดับการให้ผลผลิตขึ้นใหม่
ซึ่งกระทำได้โดยการตัดทรงพุ่มที่ระดับความสูงประมาณ 30 - 50
ซม. การตัดแบบนี้เรียกว่า
Medium Pruning (ปกตินิยมกระทำทุก
4 - 5
ปี)
และเมื่อชามีการให้ผลผลิตติดต่อกันเป็นเวลานาน
จะทำให้ต้นชาทรุดโทรม ให้ผลผลิตลดลง มีการแตกกิ่งแขนงลดลง
จึงสมควรทำการตัดแต่งเพื่อจัดกิ่งหลักใหม่ โดยตัดแต่งที่ระดับความสูงประมาณ 15
ซม. และปล่อยให้ต้นชามีการแตกกิ่งใหม่ เรียกการตัดแต่งนี้ว่า
Heavy
Pruning
ส่วนการตัดแต่งชาที่มีความทรุดโทรมมาก เพื่อเป็นการทำหนุ่มสาวใหม่
(rejuvinility) นั้น ไม่มีเวลากำหนดที่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับสภาพของต้นชาเป็นหลัก
สำหรับชาที่ขาดการดูแลรักษาจะทรุดโทรมเร็วกว่าชาที่มีการดูแลรักษาดี
ซึ่งจำเป็นต้องทำหนุ่มสาวใหม่ (rejuvinility)
ก่อน
โดยการตัดชาทั้งต้นที่ระดับคอดิน และปล่อยให้มีการแตกกิ่งตั้งทรงพุ่มใหม่
ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิตได้ใหม่
การตัดแต่งแบบนี้เรียกว่า Collar Pruning
รูปแบบการตัดแต่งทรงพุ่มชาแบบต่าง ๆ
4.
การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยอินทรีย์
:
ใส่ปุ๋ยคอกทุกปีๆ ละ 2
ตัน/ไร่ โดยในช่วงที่เหมาะสำหรับการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ คือ
ช่วงก่อนการตัดแต่งทรงพุ่มประจำปี
เมื่อมีการให้ปุ๋ยอินทรีย์ในช่วงดังกล่าวควรทำการคลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้นและช่วยเพิ่มอุณหภูมิในดินให้ระบบรากมีการเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาวด้วย
การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับการใส่ปุ๋ยเคมี
ปุ๋ยเคมี
:
การใส่ปุ๋ย แนะนำให้ใช้ปุ๋ยผสมสูตร
80-24-26
โดยในปีที่ 1 ใส่อัตรา 20
กก./ไร่
ปีที่ 2 ใส่อัตรา 40 กก./ไร่
ปีที่ 3 ใส่ 60 กก./ไร่
หลังจากปีที่ 4 เป็นต้นไปใส่ 80 กก./ไร่
(ช่วงต้นและปลายฤดูฝน)และทุกปีควรใส่ปุ๋ยคอกอย่างน้อยปีละ 2
ตัน(แนะนำให้ใส่ช่วงปลายฤดูฝน)
5.
การให้น้ำ
การปลูกชาของเกษตรกรรายทางภาคเหนือของประเทศไทย
ส่วนใหญ่มักไม่คำนึงถึงระบบการให้น้ำแก่ต้นชาในแปลงปลูก
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว
ระบบการชลประทานแก่พืชในแปลงปลูกควรต้องคำนึงถึงตั้งแต่เริ่มแรก
ทั้งนี้เนื่องจากการปลูกพืชโดยไม่มีระบบชลประทานที่ดี
มักประสบปัญหาการขาดน้ำของชาในระยะที่ชายังมีอายุน้อย และในช่วงฤดูแล้ง
ซึ่งส่งผลให้ชาชะงักการเจริญเติบโตและมีผลผลิตลดลง
การให้น้ำแก่แปลงปลูกชากระทำได้หลายวิธี เช่นการปล่อยน้ำท่วมแปลง
การให้น้ำตามร่องระหว่างแถวปลูก หรือ
การปล่อยให้น้ำไหลตามความลาดเอียงของขั้นบันได (ไม่ควรเกิน
5 เปอร์เซ็นต์)
การให้น้ำด้วยระบบพ่นฝอย หรือการให้น้ำด้วยระบบน้ำหยด
การให้น้ำในแปลงปลูกชาด้วยระบบพ่นฝอย
(springkler)
6.โรคและการป้องกันกำจัดโรคที่สำคัญ
โรคใบพุพอง(blister
blight)
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Exobasidium vexsans (Massee)
อาการของโรค
จะเห็นเป็นจุดกลมเล็กสีชมพูอ่อนหรือจางบนใบอ่อนของชาในฤดูฝน
ต่อมาจะขยายใหญ่ขึ้นถึง 0.5-2.0 เซนติเมตร
ตำแหน่งที่เป็นโรคจะมีรอยปูดนูน
บริเวณผิวใบด้านล่างจะมีจุดกลมสีชมพูจางกลายเป็นสีแดงเข้ม
ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาวฟู และสีเทาอ่อนในที่สุด เมื่ออาการของโรคถึงขั้นนี้
ก็ไม่สามารถเก็บใบอ่อนไปใช้ประโยชน์ได้
ด้านบนของผิวใบที่เป็นโรคนี้มีรอยบุ๋มลงไป
ส่วนด้านล่างของใบจะนูนออกมาและปรากฏเส้นใยของเชื้อราสีขาวฟูชัดเจน
เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งแผลที่เป็นโรคจะแห้งเปลี่ยนเป็นสีเทาน้ำตาลเพื่อรอระบาดในฤดูถัดไป
ช่วงเวลาการเข้าทำลาย
ฤดูการให้ผลผลิตชา(ระบาดมากในช่วงฤดูฝน)
การป้องกันการกำจัด
สางร่มเงาออกให้เหลือประมาณ 50 %
เด็ดใบที่เป็นโรคและเก็บใบที่ร่วงเผาทิ้ง และใช้สารเคมีที่สารประกอบทองแดง
เช่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ อัตรา 300 กรัมต่อน้ำ
20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วใบชา
8-10 วันต่อครั้งจนโรคหยุดระบาด
โรคใบจุดสีน้ำตาล(Brown
blight)
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อ
1.
Coollectotricum camelliae (Cook)
Battler.
2. Glomerella cingulata (Stonem) S.&
Sc.
อาการของโรค อาการเริ่มแรกเป็นจุดสีน้ำตาลแกมเหลืองบนผิวใบชา ต่อมาอีก
7-10 วัน จุดสีน้ำตาลจะขยายใหญ่และเปลี่ยนเป็นแห้งตาย
ถ้าอาการของโรครุนแรงจะทำให้ใบร่วง โรคนี้มักเกิดกับใบและยอดอ่อน
การป้องกันกำจัด
ให้เก็บใบที่เป็นโรคเผาทิ้ง และใช้สารเคมีกำจัดเชื้อราชนิดดูดซึม เช่น เบนโนมิล
อัตรา 500 ppm. ฉีดพ่น 7 วันต่อครั้ง ประมาณ
3 ครั้งติดต่อกันและใช้สลับกับสารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซี่คลอไรด์ อัตรา
30 กรัมต่อน้ำ 20
ลิตร จะให้ผลดียิ่งขึ้น
7.
แมลงและการป้องกันกำจัดแมลง
มวนยุง(Tea
Mosquito Bugs)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Heiopeltis sp. เป็นแมลงชนิดปากดูด
ตัวเต็มวัยมีลักษณะคล้ายยุง ลำตัว ปีกและขามีสีดำ
ท้องสีเขียว กลางหลังจะมีสีเหลือง
ลักษณะการทำลาย
มวนยุงจะเข้าทำลายทั้งยอดอ่อนและใบเพสลาด
โดยใบชาที่ถูกทำลายจะมีรอยแผลเป็นวงเล็ก ๆ หรือเป็นจุด ๆ ทำให้ยอดและใบอ่อน
เมื่อนำมาแปรรูปและชงจะแสดงอาการเป็นวงหรือจุดในกากชา
ช่วงเวลาการเข้าทำลาย
ฤดูแล้ง
การป้องกันกำจัด
ทำลายพืชอาศัยอื่น(เช่นชาทอง)
ร่วมกับการใช้สารไล่แมลง
เพลี้ยอ่อน (Aphid)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Aphis glycines Glover.
เป็นแมลงศัตรูชาที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ตัวอ่อนมีสีเหลืองอมเขียวขนาดเท่ากับหัวไม้ขีดไฟหรือเล็กกว่า
เมื่อโตขึ้นจะมีสีคล้ำเป็นสีเขียวหม่นอมเทา ตัวแก่มีสีดำ และมีปีกบินได้
ลักษณะการทำลาย
จะเข้าทำความเสียหายโดยการดูดกินน้ำเลี้ยง
และมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่ทำให้รู้ว่ามีเพลี้ยอ่อนระบาดนั่นคือ
จะมีมดอยู่ตามต้นที่มีเพลี้ยอ่อนทำลาย
ชาที่ถูกเพลี้ยอ่อนทำลายยอดจะคลี่ออกไม่เต็มที่ ใบหงิกม้วน ยอดมีสีซีดจาง
ช่วงเวลาการเข้าทำลาย
ฤดูแล้ง
การป้องกันกำจัด
ถ้าพบเพลี้ยอ่อนทำลายในปริมาณไม่มากนัก และสภาพอากาศฝนตก
(ช่วงฤดูฝน) ไม่ควรตัดสินใจใช้สารเคมี
ถ้ามีการระบาดมากให้ใช้เซฟวิน
0.5%
อัตราตามคำแนะนำฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม
เพลี้ยไฟ (Thrips)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Scirtothrips dosalis ลำตัวยาวประมาณ 1
มิลลิเมตร
ตัวอ่อนมีสีเหลือง ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาลปนเหลือง
ตัวเต็มวัยจะวางไข่ในเนื้อเยื่อของลำต้น และใบไม้
ลักษณะการทำลาย
เพลี้ยไฟสามารถทำลายพืชทั้งระยะตัวอ่อนและตัวเต็มวัย
โดยใช้ปากเขี่ยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดใบอ่อน ตาดอก ดอก และผลอ่อน ทำให้ยอด
ใบอ่อนหงิกงอ ใบแห้งกรอบ ไม่เจริญเติบโต ขอบใบม้วน
อาการที่พบส่วนมากถ้าทำลายบางส่วนจะทำให้เกิดแผลเป็นรอยสะเก็ดสีน้ำตาล ในระยะใบเมื่อเกิดทำลายจะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก
ช่วงเวลาการเข้าทำลาย
ช่วงเปลี่ยนฤดูจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว
การป้องกันกำจัด
ให้น้ำด้วยระบบพ่นฝอย และเซฟวิน 0.5%
การเลี้ยงผึ้งจะเป็นประโยชน์ทางอ้อมในการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ
เนื่องจากผึ้งเป็นแมลงศัตรูธรรมชาติที่สำคัญของเพลี้ยไฟ
หนอนม้วนใบ (Tea
Tortris Catterpillar)
ชื่อวิทยาศาสตร์ Homona
coffearia (Niether)
ลักษณะการทำลาย
จะทำความเสียหายต่อใบและยอดอ่อนของชา
โดยหนอนจะนำใบมาติดกันแล้วกัดกินใบ
ตัวแม่เป็นผีเสื้อกลางคืนออกวางไข่บนใบชาเป็นกลุ่ม ๆ ละ 100
ฟองหรือมากกว่านั้น ไข่จะฟักเป็นตัวบุ้งโตเต็มที่ ยาว 12-20
มิลลิเมตร
เมื่อเข้าดักแด้จะใช้ใบชาสร้างรัง
ช่วงเวลาการเข้าทำลาย
ฤดูการให้ผลผลิตชา(ปลายฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูหนาว)
การป้องกันกำจัด
มีแตนเบียนหลายชนิดลงทำลายแมลงชนิดนี้ในชวา อินโดนีเซีย ในศรีลังกา
ได้มีการนำเข้าแมลงเบียน
Microcentrus homonae
Nixon
และทำการตัดแต่งกิ่งชาเป็นประจำทุกปี
8.
การป้องกันกำจัดวัชพืช
การกำจัดวัชพืชในชา ทำได้โดย
หมายเหตุ
ไม่ควรใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูชา และวัชพืชโดยไม่จำเป็น
9.
การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวในสวน
9.1
การเก็บเกี่ยว
การเก็บยอดชาโดยทั่วไปมี
3
วิธีการ คือ
การเก็บโดยใช้มือเด็ด ใช้กรรไกรตัด และการเก็บยอดชาโดยใช้เครื่องจักร
การเก็บยอดชาโดยการใช้มือเด็ด
วิธีการนี้นิยมใช้ในสวนชาขนาดเล็ก
หรือสวนชาที่ปลูกตามไหล่เขาซึ่งไม่สะดวกต่อการใช้เครื่องจักร
หรือสวนชาที่ต้องการผลิตชาคุณภาพสูงและมีราคาแพง
การเก็บยอดชาโดยวิธีนี้ทำให้สามารถเลือกขนาดของยอดชาได้
แต่เป็นวิธีการที่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานสูง นอกจากนี้
หากแรงงานที่จ้างมีคุณภาพต่ำ เช่น
ขาดความรู้ในการเก็บหรือเก็บยอดโดยไม่ระมัดระวัง
จะทำให้ยอชาสดที่ได้มีคุณภาพต่ำไปด้วย ถ้าหากเป็นแรงงานที่มีความรู้ความสามารถ
อัตราค่าจ้างจะสูง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตให้สูงตามไปด้วย
นอกจากนี้การเก็บยอดชาด้วยมือ
จะทำให้ความสูงของทรงพุ่มชาหลังการเก็บยอดไม่สม่ำเสมออยากแก่การเก็บยอดในครั้งต่อไป
แต่อย่างไรก็ดี
การเก็บยอดชาด้วยวิธีนี้สามารถเลือกยอดชาที่มีคุณภาพดีไปทำการผลิตชาคุณภาพดีได้
สำหรับแรงงานที่มีคุณภาพสามารถเก็บได้ประมาณ 10 - 15
กก./วัน
การเก็บยอดชาโดยการใช้กรรไกรตัด
วิธีการนี้นิยมใช้ในสวนชาขนาดเล็ก
หรือสวนชาที่ปลูกตามไหล่เขาซึ่งไม่สะดวกต่อการใช้เครื่องจักร
การเก็บยอดชาด้วยวิธีนี้สามารถเก็บยอดได้มากกว่าการเก็บด้วยมือ
แต่ไม่สามารถเลือกขนาดของยอดชาได้ สามารถเก็บได้ประมาณ 60 - 100
กก./วัน
การเก็บยอดชาโดยใช้เครื่องจักร
วิธีการเก็บยอดชาด้วยเครื่องจักรเหมาะสำหรับสวนที่มีขนาดใหญ่หรือสวนที่ปลูกชาในพื้นที่ที่สามารถใช้เครื่องทุ่นแรงได้
การเก็บยอดชาด้วยเครื่องจักรจะไม่สามารถเลือกขนาดของยอดชาได้
ดังนั้นการเก็บยอดชาด้วยวิธีนี้ จึงต้องกำหนดเวลาการเก็บด้วยการตัดแต่ง
ดังเช่น ในประเทศญี่ปุ่น หลังจากทำการตัดแต่งในช่วงเดือนตุลาคม -
พฤศจิกายน ชาจะพักตัว และเริ่มแตกยอดใหม่ประมาณเดือนมีนาคม
ยอดใหม่นี้จะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงเดือนเมษายน -
พฤษภาคม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี การจัดการสวนชาด้วยวิธีนี้
จำเป็นต้องมีช่วงเวลาในการจัดการที่แน่นอน
การเก็บยอดชาด้วยมือ
การเก็บยอดชาด้วยเครื่องเก็บยอดชา
การเก็บยอดชาด้วยรถแทรคเตอร์
9.2
วิทยาการก่อนการเก็บเกี่ยว
9.2.1
การเตรียมการเก็บเกี่ยว
9.2.2
การเก็บเกี่ยว
:
9.3 วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
9.3.1
ชาเขียว
9.3.2 ชาจีน
(ชากึ่งหมัก)
9.3.3 ชาฝรั่ง
(ชาดำ)
10. การขนส่ง
|